ถ้าเป็นคนรักงานศิลปะแล้วละก็ คงไม่มีที่ใดในโลกที่จะสนุกเท่ากับการไปตะลุยมิวเซียมในปารีสอีกแล้ว ไปปารีสทั้งทีจะให้รู้อยู่แค่ลูฟร์ ดูวีนัส เดอ ไมโล กับรอยยิ้มของโมนาลิซาก็กะไรอยู่ แต่จะเริ่มจากไหนล่ะ? เป็นคำถามที่ยากเพราะว่าการจะเลือกชมงานศิลปะแบบไหนขึ้นอยู่กับความอภิเชฐของผู้ชมมากกว่า จะเป็นงานคลาสสิคก็มีให้เห็นเต็มลูฟร์มิวเซียม งานโมเดิร์นก็หาได้ทั้ง Pompidou ที่อยู่ใกล้ๆย่านมาเร่ Marias มิวเซียม Palais de Tokyo ที่มีงาน Installation art เท่ๆมาแสดงอยู่อย่างสม่ำเสมอ หรือ Musee D'art Moderne ที่อยู่ตรงข้ามที่มีเอ็กซิบิชั่นน่าสนใจมาแสดงเรื่อยๆในปีที่ผ่านมาก็มีงานของศิลปินโมเดิร์นอาร์ตชื่อดังอย่างคีธ แฮริ่ง (Keith Haring) ซึ่งถือว่าเป็นการโชว์ผลงานครั้งใหญ่ที่สุดของศิลปินชาวอเมริกันเลยทีเดียว
แต่ถ้าชอบงานศิลปะยุค Impressionism แล้วละก็มีให้ติดตามเต็มไปหมด แต่ที่พลาดไม่ได้เห็นจะเป็น Musee D'orsay ที่มีงานมาสเตอร์พีซของทั้งปรมจารย์งาน Impressionism อย่าง Claude Monet ที่มีภาพแสดงถึง 86 ภาพหรืองานศิลปะในยุคเดียวกันที่ร่ายเรียงตั้งแต่ Paul Cezanne กับภาพ the card players ที่มีอีกรูปหนึ่งอยู่ที่ Courtauld Institute of Art ลอนดอน Pierre Auguste Renoir ที่มีผลงานแสดง ณ มิวเซียมแห่งนี้ไม่แพ้โมเน่ต์โดยมีกว่า 80 ชิ้น ผลงานชิ้นเอกที่ไม่ควรพลาดคือ Bal Du Moulin de la Galette เป็นภาพของชีวิตยามบ่ายวันอาทิตย์ของชาวฝรั่งเศสย่านมงมาร์ต หากเรียนวิชาประวัติงานศิลปะต้องคุ้นเคยกับภาพนี้เป็นอย่างดี Edouard Manet กับภาพ The Luncheon on the grass หรืองานของศิลปินหญิงอย่าง Berthe Morisot อีกหนึ่งภาพที่พลาดไม่ได้คือ Les raboteurs de parquet ผลงานของ Gustave Caillebotte เป็นภาพสีน้ำมันที่แสดงให้เห็นถึงฝีมือของศิลปินยุคนั้นได้เป็นอย่างดี จุดเด่นของภาพนี้คือการเล่นแสงเงาบนตัวคนงานที่กำลังขัดพื้นไม้กับแสงธรรมชาติที่ส่องผ่านช่องหน้าต่าง นอกจากนี้ยังมีภาพของศิลปินชื่อดังของยุค Post impressionism อีกมากมายอาทิ Van Gogh
แต่การจะไปเข้าคิวเพื่อซื้อตั๋วสำหรับพิพิธภัณฑ์ศิลปะแห่งนี้อาจใช้เวลานานมากจึงแนะนำให้ไปซื้อแพ็คเกจที่เข้าได้ทั้ง 2 มิวเซียม ณ Musee de L'Orangerie ที่อยู่ในสวนข้างลูฟร์มิวเซียม พิพิธภัณฑ์งานศิลปะแห่งนี้มีสองชั้น ที่พลาดไม่ได้อย่างแน่นอนคือภาพ Nympheas หรือ Water lilies ที่โชว์อยู่ในห้องรูปไข่ ส่วนชั้นใต้ดินนั้นก็มีงานศิลปะที่น่าสนใจมากมายทั้งของ Paul Cezanne, Pablo Picasso, และ Modigliani เป็นต้น
อีกมิวเซียมหนึ่งที่ไม่ควรพลาด แม้ว่าอาจจะอยู่แยกออกไปจากมิวเซียมอื่นๆ นิดหน่อยแต่คุ้มค่ากับการไปเยี่ยมชมอย่างแน่นอนคือ Musee Marmottan แหล่งเก็บสมบัติชั้นยอดและมากกว่าที่ใดในโลกของ Claude Monet ที่มีมากนับร้อยๆ ชิ้น แต่ร้อยๆ ชิ้นที่จะได้เห็นนั้นเทียบไม่ได้กับรูปที่เป็นต้นกำเนิดของศิลปะ impressionism ได้แก่รูป impresssion sunrise การเดินทางไปยังมิวเซียมแห่งนี้ค่อนข้างง่ายใกล้กับเมโทรสาย La Muette เมื่อถึงสถานีก็จะมีป้ายบอกทางชัดเจน นอกจากภาพ impresssion sunrise แล้วยังมีรูปอื่นที่น่าสนใจอย่าง The Saint Lazare Station หรือคอลเลกชั่น Water lillies อีกด้วย
หลายๆ คนอาจสงสัยว่าคำว่า impressionism มาได้อย่างไร ในยุคนั้นการแสดงงานศิลปะนั้นต้องได้รับการยอมรับจากคณะกรรมการ ซึ่งกว่าศิลปินแต่ละคนจะสร้างชื่อได้นั้นต้องผ่านงานแสดงศิลปะ Salon ที่จัดแสดงทุกปี แต่คณะกรรมการเห็นว่างานของโมเน่ต์นั้นดูทันสมัยเกินไปจึงไม่ได้รับการยอมรับ จึงเป็นเหตุให้โมเน่ต์และกลุ่มศิลปินรวมตัวกันจัดงานแสดงศิลปะขึ้นต่างหาก โดยจัด 2 อาทิตย์ก่อนงาน Salon โดยศิลปินกลุ่มนั้นประกอบด้วย Sisley, Degas, Pissaro, Renoir, Boudin และ Morisot ที่เป็นผู้หญิงคนเดียวในกลุ่ม โดยงานนั้นได้รับความสนใจเป็นอย่างมากเนื่องจากลักษณะของภาพไม่เคยปรากฎที่ใดมาก่อน ซึ่งนักวิจารณ์ศิลปะ Louis Leroy ให้คำจำกัดความงานศิลปะที่ดูฟุ้งๆ เบลอๆ และยังไม่สมบูรณ์แบบนี้ว่า impression ซึ่งดูเป็นภาพเสมือนอยู่ในความฝัน หนึ่งในภาพที่นำมาแสดงในงานนั้นและเป็นต้นกำเนิดของ impressionism คือภาพวาดยามเช้า ณ ท่าเรือ Le Havre ของโมเน่ต์ Impression, Sunrise
'What on earth is that?'
'You see... a hoarfrost on deeply ploughed furrows.'
'Those furrows? That frost? But they are palette-scrapings placed uniformly on a dirty canvas. It has neither head nor tail, top nor bottom, front nor back.'
'Perhaps... but the impression is there.'
'Well, it's a funny impression!'
(L. Leroy in Charivari, 25 April 1874)